คุณรู้จักปอดดีหรือยัง ?

มาทำความรู้จักกับปอด และระบบหายใจ

ระบบหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊สในปอด (ถุงลมปอด)

ระบบหายใจของคนเรานั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ

- ระบบหายใจส่วนบน (upper respiratory tract, URI) ประกอบด้วย อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการหายใจเหนือกล่องเสียงขึ้นไป ได้แก่ จมูก และคอหอย

- ระบบหายใจส่วนล่าง (lower respiratory tract, LRI) ประกอบด้วยกล่องเสียง หลอดคอ หลอดลมใหญ่ ปอด (และปลายสุดที่สำคัญคือ ถุงลมปอด)

เมื่อเราหายใจเอาอากาศที่มีอ๊อกซิเจนเข้าไปนั้น จะเกิดการแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างอ๊อกซิเจนและคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ที่ถุงลมปอด

การแลกเปลี่ยนแก๊สที่ถุงลมปอด

เมื่อเราสูดอากาศเข้าไป อ๊อกซิเจนจะซึมผ่านผนังเส้นเลือดฝอยในปอดเข้าสู่กระแสเลือด เม็ดเลือดแดง จะจับอ๊อกซิเจนเอาไว้ แล้วไหลวนเวียนไปส่งให้เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย

ส่วนคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ซึ่งเป็นของเสียจากเซลล์ ก็จะซึมผ่านน้ำหล่อเลี้ยงเซลล์เข้าสู่เส้นเลือดฝอยที่เป็นเส้นเลือดดำในทำนองกลับกันกับการที่อ๊อกซิเจนเข้าสู่เซลล์ คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ที่แขวนลอยอยู่ในน้ำเลือดก็จะเข้าสู่ปอด แล้วซึมผ่านผนังเซลล์ปอดปนออกมาไปกับอากาศที่เราหายใจออกไป จะเห็นว่าระบบการหายใจก็คือ การแลกเปลี่ยนแก๊สอ๊อกซิเจนกับคาร์บอนไดอ๊อกไซด์

ปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อโรคปอด และทางเดินหายใจ

1. จากพันธุกรรม

ครอบครัวที่มีบิดา หรือ มารดา ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ และ ปอด ลูกมีความเสี่ยงสูงในการที่จะเป็นไปด้วย

2. จากสภาวะแวดล้อม
2.1 สภาวะแวดล้อมภายในบ้านที่อยู่อาศัย
2.2 สภาวะแวดล้อมภายนอกบ้าน
3.3 เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา

- ภายในบ้านได้แก่ ฝุ่น ไรฝุ่น ขนและรังแคสัตว์ เกสรดอกไม้ แมลงสาบ น้ำเน่าเสีย ขยะ ควันบุหรี่

- ภายนอกบ้านได้แก่ ฝุ่นละอองดินทรายจากธรรมชาติและการก่อสร้าง ควันจากท่อไอเสียรถ ควันจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรม ควันไฟจากการเผาไหม้ต่าง ๆ และที่ร้ายแรงคือฝุ่นมลพิษขนาดจิ๋ว PM2.5

โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจภัยเงียบโรคปอด

ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ มักจะมีอาการ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกน้ำตาไหล คันรอบบริเวณดวงตา มีอาการระคายเคืองที่จมูก และใบหน้า หายใจไม่สะดวกเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกาย ซึ่งผู้ที่เป็นภูมิแพ้จะมีความไวต่อสิ่งแปลกปลอม สารพิษหรือสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ซึ่งคนปกติอาจจะไม่มีปฎิกริยาไวเท่ากับคนที่เป็นภูมิแพ้

ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หรือ มีพยาธิสภาพในตำแหน่งใดของระบบหายใจส่วนล่างถือได้ว่าเป็น "โรคปอด" ทั้งสิ้น

โรตปอดที่พบส่วนใหญ่ได้แก่

- โรคหืด หรือโรคหอบหืด

- วัณโรค

- มะเร็งปอด

-โรคถุงลมปอดโป่งพอง

ในเมื่อเรามีปอดคู่เดียว ไม่มีอะหลั่ยเปลี่ยน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแล เพราะเป็นอวัยวะที่สำคัญมากในระบบหายใจ

แล้วคุณเองมีอาการภูมิแพ้ดังกล่าวหรือไม่ เช็คดูเลย

✔ไอบ่อย ๆ

✔จามเป็นระยะเวลานาน จามเป็นชุด ๆ ต่อเนื่องกัน

✔มีอาการคัดจมูก

✔น้ำมูกน้ำตาไหล

✔คันรอบบริเวณดวงตา

✔มีอาการระคายเคืองที่จมูก และใบหน้า

✔หายใจไม่สะดวก

เมื่อคุณมีอาการเหล่านี้ นั่นเป็นสัญญาณเตือนให้ระวังดูแลปอดของคุณ เราจึงแนะนำตัวช่วยที่ดีสำหรับภูมิแพ้ทางเดินหายใจ และปอด

D-POT(ดีต่อปอด)

นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสกัดเข้มข้น 10 ชนิด ผสานกันเพื่อบำรุงปอด สร้างภูมิคุ้มกันให้กับปอด ผู้ที่เป็นภูมิแพ้หยุดเสี่ยงกับโรคปอดได้แล้ว เรามีตัวช่วยที่ดีและไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ กับร่างกาย เพราะเป็นสารอาหารจากธรรมชาติ 100% ที่คัดสรรมาเพื่อดูแลปอดและระบบหายใจโดยตรง รวมถึงภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ

ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ รับโปรโมชั่น

พิเศษ โทร. 094 587 7667

โรคหืด หรือ โรคหอบหืด (Asthma)

"โรคหืด" หรือ ผู้ที่มีอาการหอบด้วย จะเรียกว่า "โรคหอบหืด"

ผู้ที่เป็นแล้วจะมีอาการ เหนื่อยหอบ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจมีเสียงวี๊ด ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนกลางคืน หรือ อากาศเย็น เวลาเป็นหวัดก็จะไอนานกว่าปกติ

-สาเหตุของโรคหืด

เกิดจากการอักเสบของหลอดลมเรื้อรัง ร่วมกับการที่หลอดลมมีความไวต่อสิ่งที่มากระตุ้นมากผิดปกติ ทำให้เกิดอาการของโรคหืด ได้แก่สารก่อภูมิแพ้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน

สังเกตุอาการว่าคุณน่าจะเสี่ยงโรคหอบหืดหรือไม่ ?

หายใจลำบาก หายใจไม่อิ่ม หายใจมีเสียงวี๊ด

เหนื่อยหอบ แน่นหน้าอก

ไอเรื้อรัง

ผู้ที่มีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจและรักษา

ดีพอต (D-POT) รวบรวมอาหารที่ดีต่อปอดโดยการสกัดมาอย่างเข้มข้น และผู้ที่เป็นหอบหืดก็ยังสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ดีพอตได้ เนื่องจากสารสกัดเข้มข้นของแอปเปิ้ล ซึ่งมีอยู่ในดีพอต ได้มีการวิจัยแล้วว่า ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหอบหืดได้ถึง 32% รวมทั้งภูมิแพ้ด้วย และผู้ที่เป็นแล้ว ก็จะช่วยบรรเทาโดยการค่อย ๆ ฟื้นฟูเซลล์ปอด

วัณโรคปอด (Tuberculosis)

วัณโรค หรือ TB เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis ที่สามารถทนอยู่ในอากาศ และสิ่งแวดล้อมได้นาน โดยสามารถติดต่อกันผ่านทางอากาศด้วยการหายใจเอาเชื้อนี้เข้าไป โดยการจาม ไอ หรือการอยู่ร่วมกันกับผู้ป่วยวัณโรคเป็นเวลานาน แต่เชื้อนี้ก็อาจเข้าทางอื่นได้ด้วย เช่นทางบาดแผล

ในความเป็นจริงแล้ว วัณโรคสามารถเกิดได้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย แต่โดยส่วนมากมักเกิดขึ้นที่ปอด ซึ่งการตรวจวินิจฉัยวัณโรคปอด สามารถตรวจได้ค่อนข้างง่าย โดยการเอ็กเซเรย์ปอด และตรวจหาเชื้อจากเสมหะ

อาการของวัณโรค

ไอต่อเนื่้องติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป

มีอาการไอเป็นเลือด

เจ็บหน้าอก หรือมีอาการเจ็บหน้าอกขณะหายใจ หรือไอ

อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เบื่ออาหาร

มีอาการไข้ หนาวสั่น

มีเหงื่อออกในเวลากลางคืน

การป้องกัน

ตรวจร่างกายด้วยการเอ็กซเรย์ปอดปีละครั้ง

หลี่กเลี่ยงใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค

สวมหน้าการอนามัย เมื่ออยู่ในเพื้อนที่แออัด

ดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ
*ผู้ที่อยู่บ้านเดียวกันกับผู้ป่วยหรือคนในครอบครัวเป็น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูด้วยว่ามีเชื้อหรือเปล่า

วัณโรคสามารถติดต่อได้ ยิ่งคนที่เป็นวัณโรคปอดที่มีเชื้อเสมหะยิ่งติดต่อง่าย ดังนี้นเมื่อพบว่าตนเองป่วยเป็นวัณโรคหรือเสี่ยงต่อวัณโรค ควรรีบพบแพทย์ เพื่อทำการรักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

อย่างเคร่งครัด เพราะโรคนี้สามารถรักษาหายได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการทานยาต่อเนื่องถึง 6 เดือน ซึ่งต้องทานยาเยอะมาก ผู้ป่วยบางรายท้อในการทานยาทีละมาก ๆ ทำให้ละเลยในการทานยา จึงทำให้เกิดการดื้อยา ซึ่งจะทำให้การรักษายุ่งยากขึ้น

เมื่อรักษาวัณโรคหายเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมต้องรีบเร่งในการฟื้นฟูปอด เราจึงขอแนะนำให้ทาน D-POT

เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี และบำรุงซ่อมแซมเซลล์ปอด ซึ่งสารสกัดเข้มข้นของดีพอต จะค่อย ๆ เข้าไปปรับความสมดุลย์ของภูมิคุ้มกันให้ทำงานดีขึ้น และค่อย ๆ บำรุงปอดให้อยู่ในสภาพที่เป็นปกติ

โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema)

โรคถุงลมโป่งพอง หรือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease : COPD)

สาเหตุของโรคนี้ ส่วนใหญ่่เกิดจากการสูบบุหรี่ แต่สภาพแวดล้อมก็สามารถทำให้เป็นโรคนี้ได้เช่นกัน ได้แก่การสูดดมสารที่เป็นพิษ อาจอยู่ในรูปของฝุ่นควัน แก๊ส หรือสารเคมีที่มีขนาดเล็กเข้าไปในปอด ซึ่งอาจรวมไปถึงฝุ่นขนาดจิ๋ว PM2.5 ด้วย

การสูบบุหรี่ ไม่ว่าจะสูบเอง หรือได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่นที่สูบ หรือได้รับจากสิ่งแวดล้อม เช่น กลิ่นบุหรี่ตามตัว บนเสื้อผ้า หรือโซฟา เป็นต้น แม้กระทั่งควันจากเตาถ่านซึ่งในสมัยนี้ไม่นิยมใช้กันแล้ว แต่ก็ยังมีผู้ที่ทำธุรกิจร้านอาหารที่ยังต้องปิ้งย่างด้วยเตาถ่านอยู่ ซึ่งผู้ที่รับหน้าที่ในการก่อเตาถ่านเป็นประจำก็ต้องระมัดระวัง โดยการมาทำการตรวจปอดอยู่เป็นประจำ ปีละครั้ง และสวมหน้ากากด้วย

นอกจากนั้น พันธุกรรมที่ผิดปกติทำให้ปอดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือ อาจมีความผิดปกติของปอดตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ทำให้มีโอกาสเกิดโรคมากกว่าคนทั่วไป

อาการ

หายใจลำบาก โดยเฉพาะช่วงที่เคลื่อนไหวร่างกาย หรือออกแรงมาก

ไอเรื้อรัง มีเสมหะ

มีการติดเชื้อในระบบหายใจบ่อย เช่น หลอดลมอักเสบหรือปอดติดเชื้อ

หายใจมีเสียงวี๊ด หรือเจ็บหน้าอกร่วมด้วย

เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย

ตัวเขียวโดยเฉพาะที่ริมฝีปากและปลายนิ้ว

เกิดภาวะซึมเศร้า

การป้องกัน

เลิกสูบบุหรี่

หลีกเลี่ยงฝุ่น ควัน สารพิษ ที่อาจสูดดมเข้าไป

ถ้ามีอาชีพที่จะต้องเจอฝุ่นควัน ควรสวมหน้ากากตามมาตรฐานวิชาชีพ

การรักษา

ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาใดที่สามารถทำให้โรคถุงลมโป่งพองหายได้ แต่การใช้ยาจะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และปอดถูกทำลายช้าลง ซึ่งการรักษาแบ่งจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือการใช้ยารักษา กับการไม่ใช้ยา

ส่วนที่ 1 การใช้ยารักษา ยาหลักคือ ยาขยายหลอดลม เพื่อบรรเทาอาการคนไข้ ซึ่งจะใช้ยาในรูปของยาพ่นสูด ไม่ได้ใช้ยารับประทานเพราะมีผลข้างเคียงมากกว่า

ส่วนที่ 2 การรรักษาโดยไม่ใช้ยา ได้แก่การงดบุหรี่ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ การออกกำลังกายฟื้นฟูสมรรถภาพปอด ถ้าผู้ป่วยมีอ๊อกซิเจนต่ำในร่างกายก็ต้องให้อ๊อกซิเจนระยะยาว

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดีพอต (D-POT)

กับการดูแลผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง

เนื่องจากยาทานที่ใช้ในการรักษาโรคนี้มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก คุณหมอจึงไม่ค่อยรักษาด้วยการให้ยาทาน เพราะฉะนั้นผลิตภัณฑ์ของเราเป็นสารอาหารธรรมชาติที่เข้มข้น คัดสรรมาเพื่อดูแลปอดและระบบหายใจโดยตรง ซึ่งช่วยฟื้นฟูปอดได้ดี โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ กับร่างกาย เราจึงแนะนำให้ทานดีพอตร่วมกับการรักษาทางการแพทย์ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชนิดพ่นสูด

มะเร็งปอด (Lung Cancer)

มะเร็งปอด

เกิดจากเซลล์เยื่อบุหลอดลมปอดที่ได้รับการระคายเคืองมาเป็นระยะเวลานาน จึงอาจเรียกชื่อมะเร็งตามต้นกำเนิดอีกชื่อหนึ่งว่า Bronchogenic Carcinoma ซึ่งอาจเกิดในบริเวณหลอดลมใหญ่ใกล้ขั้วปอด หรืออาจเกิดในหลอดลมแขนงเล็ก ๆ ส่วนปลายที่ไกลออกมากจากขั้้วปอดก็ได้

ปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งปอด

1. บุหรี่ เป็นสาเหตุของมะเร็งปอดถึงร้อยละ 80-90 การสูบบุหรี่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์หลอดลม ทำให้เกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้

2. สารพิษ การสัมผัสสารแอสเบสตอส หรือแร่ใยหิน ซึ่งใช้ในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ ฉนวนกันความร้อน การก่อสร้าง โครงสร้างอาคาร ผ้าเบรค คลัช อุตสาหกรรมสิ่งทอ และเหมืองแร่

3. รังสี การได้รับการฉายรังสีบริเวณปอด และรังสีเรดอน ซึ่งเป็นก๊าซกัมมันตรังสี ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดจากการสลายตัวของแร่ยูเรเนี่ยมในใยหินกระจายอยู่ในอากาศและน้ำใต้ดินในที่ที่อากาศไม่ถ่ายเท ซึ่งหากได้รับในปริมาณมาก ก็อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดได้

4. โรคปอด ผู้ที่เคยมีรอยแผลเป็นของโรคที่ปอด เช่น เคยเป็นวัณโรคปอด หรือผู้ป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง จะมีโอกาสเกิดมะเร็งปอดสูงกว่าคนปกติ

5. ปัจจัยอื่น ๆ เช่น อายุมากขึ้น การใช้สารเสพติดบางประเภท เช่น กัญชาและโคเคน ภาวะขาดวิตามินเอ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งปอดด้วย ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างกรรมพันธุ์กับการเกิดมะเร็งปอด ยังไม่มีความชัดเจน

สัญญาณเตือนมะเร็งปอด

1. อาการของระบบทางเดินหายใจ ได้แก่

- อาการไอเรื้อรัง อาจมีหรือไม่มีเสมหะก็ได้

- ไอเป็นเลือด

- หอบเหนื่อย หายใจลำบาก เนื่องจากก้อนมะเร็งโตขึ้น ทำให้เนื้อที่ปอดสำหรับหายใจ เหลือน้อยลง หรือก้อนมะเร็งนั้นกดเบียดหลอดลม

- เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ

- ปอดอักเสบ มีไข้

แต่อาการเหล่านี้ อาจเกิดจากโรคอื่น ๆ ของปอดได้เช่นกัน จึงไม่ใช่อาการของมะเร็ง ปอดเสมอไป

2. อาการของระบบอื่น ๆ ได้แก่

- เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- บวมที่หน้า แขน คอ และทรวงอกส่วนบน เนื่องจากมีเลือดดำคั่ง
- เสียงแหบ เพราะมะเร็งลุกลามไปยังเส้นประสาทบริเวณกล่องเสียง
- ปวดกระดูก
- กลืนลำบาก เนื่องจากก้อนมะเร็งกดเบียดหลอดอาหาร
- อัมพาฒ เนื่องจากมะเร็งแพร่กระจายไปยังสมองหรือไขสันหลัง

- มีตุ่มหรือก้อนขึ้นตามผิวหนัง

ซึ่งอาการเหล่านี้ก็ไม่จำเพาะต่อโรคมะเร็งปอดเช่นกัน ผู้ที่มีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรได้รับการตรวจ
จากแพทย์

มะเร็งปอดมีกี่ชนิด

1. มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (Small Cell Lung Cancer)

มะเร็งชนิดนี้พบประมาณร้อยละ 10-25 ของมะเร็งทั้งหมด ส่วนใหญ่พบบริเวณใกล้ขั้วปอดมากกว่าบริเวณชายปอด เป็นชนิดที่แพร่กระจายเร็วและอาจสร้างสารเคมีบางอย่าง ทำให้เกิดการผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมน) ในร่างกายได้ มะเร็งชนิดนี้มักตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด และรังสีรักษาได้ดี

2. มะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก (Non-small Cell Lung Cancer)

มะเร็งชนิดนี้พบประมาณร้อยละ 75-90 ของมะเร็งปอดทั้งหมด มักมีการดำเนินโรคที่ช้ากว่า มีโอกาสตรวจพบโรคในระยะต้นได้มากกว่ามะเร็งปอดชนิดเล็ก ถ้าพบในระยะแรก การรักษาหลักคือ การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งและต่อมน้ำเหลืองออก บางรายอาจให้การรักษาร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด หรือใช้รังสีรักษา